ภาพการศึกษาดูงานด้านการสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น สพป.ขอนแก่น เขต ๔

            การเรียนการสอนประวัติศาสตร์มีความจำเป็นเพราะทำให้เกิดความภาคภูมิใจและคงความเป็นตัวตนของท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาอาจหลายชั่วชีวิตคน ก่อนที่จะมาถึงรุ่นปัจจุบัน
            สพป.ขอนแก่น เขต ๔ โดยท่านรองรัชพร วรรณคำ ท่านศึกษานิเทศก์ทินกร ชาทอง ได้เข้ามาดูแลเรื่องการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ของโรงเรียนในสังกัด ได้มีการจัดประชุมสัมมนา และเชิญวิทยากร จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มาบรรยาย เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทั่วไป และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของคนอีสาน ผมใช้เวลาส่วนหนึ่งเข้าไปนั่งฟัง เป็นเรื่องน่าติดตามมาก ผมไม่ลุกไปไหนเลย นั่งฟังจนท่านวิทยากรบรรยายเสร็จ ยอมรับว่ามีเสน่ห์ จริง ๆ
           ในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๓ ตามโครงการเดียวกัน สพป.ขอนแก่น ขต ๔ โดยกลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา ได้จัดกิจกรรมทัศนศึกษาไปยังแหล่งเรียนรู้(ทางประวัตศาสตร์)ในภาคอีสาน แถบอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา กลุ่ม ICT มองเห็นความสำคัญ จึงได้มอบภารกิจการติดตามเก็บภาพเหตุการณ์กิจกรรม ให้อาจารย์สมภาร บุญหล้า ครู โรงเรียนบ้านบะแต้ เป็นผู้ถ่ายภาพให้ (ขอขอบคุณ ท่าน ผอ.วัชรินทร์ ไชยสมบัติ ที่กรุณาอนุญาต)
          ภาพข้างล่างนี้ เป็นภาพเหตุการณ์ในกิจกรรม ยังไม่มีข้อบรรยายทางประวัติศาสตร์ ก็อยากให้ดูไปพลางๆ ก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันต่อหลังจากชมภาพเสร็จ เชิญเลยครับ


น่าจะบรรยายได้ว่า
คณะครูทุกท่านขึ้นรถที่สำนักงานเขตฯ แล้วก็มุ่งหน้าไปที่วัดหลวงพ่อคูณ
คือ"วัดบ้านไร่"
อ.ด่านขุดทด จ.นครราชสีมา
ตั้งแต่เช้า








คณะครู และเจ้าของโครงการ
ชมทัศนียภาพด้านศิลปวัฒนธรมของวัด
แล้วก็เข้ารับฟัง"วรธรรม"
จากหลวงพ่อคูณ




ดูศิลปะมวยไทย
ที่เป็นการแสดงของเด็กๆ
จากวัดบ้านไร่
ก่อนเดินทางไปที่ด่านเกวียน(๒ ภาพสุดท้าย)




                    ภารกิจของคณะ น่าจะมาจบที่ด่านเกวียน เพราะท่านสมภารโทร มาบอกว่า ห้าโมงเย็นเศษๆ จะเข้าด่านเกวียน ในแง่ของการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ ชื่อพียงชื่อเดียวว่า"ด่านเกวียน"ก็มีความหลากหลายในประเด็นศึกษา ที่มากพอแล้ว เช่น
                    ๑.  คำว่า"ด่าน"มีความหมายว่าอย่างไร คำนี้เกิดขึ้นที่นี่ในสมัยใด เกี่ยวข้องกับชีวิตของกลุ่มคนที่นี่และต่างถิ่นในอดีตอย่างไร
                    ๒. คำว่า"เกวียน" ที่ทราบว่าเป็นยวดยานพาหนะในการขนส่งสินค้า ในแง่ของคุณค่าทางนวัตกรรมแลภูมิปัญญามีความสำคัญอย่างไร ปัจจุบันคุณค่าหรือภาระหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างไร
                    ๓. ด่านเกวียนในปัจจุบัน เป็นอย่างไร กำลังนำเสนออะไร แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมเยือน มีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์อะไร ที่โดดเด่น แตกต่างจากที่อื่น
                    ๔. ดิน ที่ใช้ในการสร้างงานหัตถกรรมการป้น ของที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษอะไรบ้าง
                    ๕. มีกลุ่มบุคคลกี่กลุ่ม ที่เป็นองค์ประกอบของคนด่านเกวียน
                   ฯลฯ  นั่นเป็นเพียงประเด็นที่นั่งคิดอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ขณะที่เขียนบทความ
                   การเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ต้องเรียนรู้ให้ถึงแก่นแท้ และสามารถนำข้อมูลในอดีตและปัจจุบันมาเชื่อมโยงกันให้ได้ เป้าหมายการสอนเป้าหมายการเรียนจึงจะบรรลุผล
                   สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ได้สรุปผลการการปฏิรูปการศึกษาประวัติศาสตร์ในรอบ ๑ ปีที่ผ่านมา ไว้ ดังนี้
....................
                  ประวัติศาสตร์ทำให้ประชาชนในชาติรู้จักความเป็นมาของชาติของตน ยังความรักความผูกพัน ความหวงแหนในแผ่นดินที่พระมหากษัตริย์ บรรพบุรุษ และคนในอดีตได้เสียสละปกป้องแผ่นดินให้ดำรงมาตราบชั่วลูกชั่วหลานจนปัจจุบัน
ความสำคัญของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
                  ประวัติศาสตร์ทำให้ประชาชนในชาติรู้จักความเป็นมาของชาติของตน ยังความรักความผูกพัน ความหวงแหนในแผ่นดินที่พระมหากษัตริย์ บรรพบุรุษ และคนในอดีตได้เสียสละปกป้องแผ่นดินให้ดำรงมาตราบชั่วลูกชั่วหลานจนปัจจุบัน การรู้จักประวัติศาสตร์ของประเทศชาติจะทำให้คนหลังได้สืบทอดความเป็นเอกราชของประเทศชาติให้คงอยู่ตลอดไป ดังพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถที่ทรงแสดงความห่วงใยต่อเยาวชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เพื่อปลูกฝังเยาวชนได้ตระหนักถึงความเป็นมาของชาติไทย มีความรักความสามัคคีและภาคภูมิใจแผ่นดินไทย
                  ประวัติศาสตร์คืออะไร
          ประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยพฤติกรรมหรือเรื่องราวของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในอดีต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำ ทำให้เข้าใจพัฒนาของมนุษยชาติจากอดีตจนปัจจุบันการเรียนประวัติศาสตร์จึงเป็นความพยายามที่ต้องการศึกษาให้เข้าใจและอธิบายว่า เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์สำคัญในอดีตได้เกิดขึ้น และดำเนินไปได้อย่างไร ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงเป็นพื้นฐานการศึกษาในศาสตร์ต่างๆ และการศึกษาประวัติศาสตร์จะต้องทำความเข้าใจ ตีความสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตโดยศึกษาจากร่องรอย เอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งหลักฐานทางโบราณคดี จารึก ตำนาน พระราชพงศาวดาร พระราชหัตถเลขา จดหมายเหตุ ฯลฯ เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และนำมาเสริมสร้างความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน เนื้อหาในการศึกษาประวัติศาสตร์จะศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ในยุคสมัยต่างๆ การก่อตั้งอาณาจักร ความเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักร เป็นต้น ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงเปรียบเสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นถึงความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติที่มีพัฒนาการตั้งแต่ที่สืบสานมาจนปัจจุบัน
          ทำไมจึงต้องเรียนประวัติศาสตร์
          1. การได้เรียนประวัติศาสตร์ สอนให้รู้จักตนเอง รู้ประวัติความเป็นมาของประเทศชาติ เข้าใจพัฒนาการของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินจากอดีตและความรุ่งเรืองที่สืบทอดมีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง
          2. สร้างจิตสำนึกในความเป็นชาติเกิดความรักความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษวีรบุรุษที่ก่อตั้งชาติบ้านเมืองยังความเป็นปึกแผ่นดำรงเอกราชมาจนปัจจุบันรวมถึงการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีศิลปวัฒนธรรมที่คงความเป็นเอกลักษณ์ เป็นหน้าที่คนรุ่นหลังจะต้องสืบทอดให้คงอยู่ตลอดไป
          3. ส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นนักคิด มีเหตุมีผล เพราะกระบวนการศึกษาทางประวัติศาสตร์ หรือวิธีการทางประวัติศาสตร์มุ่งเสริมจิตใจให้ใฝ่รู้ (Inquiring Mind) มีการตั้งคำถาม ค้นคว้าหาคำตอบ ศึกษาหลักฐานเอกสาร หาเหตุผล เพื่อค้นคว้าหาคำตอบ
         4. บทเรียนจากอดีต ทำให้ผู้คนในสังคมได้เรียนรู้ความเป็นมาในสังคมของตนเอง เห็นบทเรียนในอดีตที่มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจและช่วยตัดสินใจที่จะดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องสังคมและชาติบ้านเมือง บทเรียนในอดีตจะช่วยสร้างความรู้สึกในชะตากรรมให้กับคนในสังคมเดียวกัน ปลูกฝังความรู้สึกในความเป็นชาติ และหวงแหนอิสรภาพและเอกราชของชาติของตนเอง
          ดังนั้นการเรียนประวัติศาสตร์ จึงมุ่งพัฒนาคนให้มีความคิดมีเหตุผล มีความภาคภูมิใจในแผ่นดิน และเป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข สถานศึกษาจึงต้องมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการสอนประวัติศาสตร์แก่เด็กและเยาวชน
           การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
          ด้วยความตระหนักในความสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยกำหนดในแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ 2552 กลยุทธ์ที่ 1 "ปลูกฝังคุณธรรมความสำนึกในความเป็นชาติไทย" จึงมีการปฏิรูปการสอนประวัติศาสตร์ ดังนี้
          1. ปรับปรุงหลักสูตรและการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย
          เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ตามพระราชเสวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดให้สถานศึกษาทุกระดับให้ความสำคัญในการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โดยกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพและจัดเป็นวิชาเฉพาะอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง สำหรับสถานศึกษาที่มีความพร้อมสามารถจัดสาระประวัติศาสตร์เป็นรายวิชาเพิ่มเติมทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด กล่าวคือ สถานศึกษาต้องบริหารจัดการหลักสูตรและเวลาเรียน จัดรายวิชาประวัติศาสตร์ให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 เรียนปีละ 40 ชั่วโมง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เรียนภาคเรียนละ 20 ชั่วโมง หรือปีละ 40 ชั่วโมงเช่นกัน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนประวัติศาสตร์ได้อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ทุกภาคเรียน และทุกปีการศึกษา ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกำหนดให้นักเรียนเรียนประวัติศาสตร์เพิ่มขึ้นอีก 2 หน่วยกิต หรือ 80 ชั่วโมงตลอด 3 ปีการศึกษา
          เดิมนั้น สาระประวัติศาสตร์เป็นสาระหนึ่งในสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เมื่อมีการแยกสาระประวัติศาสตร์ออกมา ย่อมทำให้สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนรู้ได้เต็มเนื้อหา และมีเวลาให้นักเรียนได้เรียนอย่างเพียงพอ และเป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ตั้งไว้
          2. ปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้แก่ครูสอนประวัติศาสตร์และกระบวนทัศน์ของศึกษานิเทศก์ โดยได้ดำเนินการดังนี้
                   2.1 ประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย
          สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เริ่มโครงการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในสถานศึกษา คือ ประชุมสัมมนาครูและศึกษานิเทศก์ของทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 185 เขต ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม 2551 จัดอบรม 4 จุด คือ
                 จุดที่ 1 ภาคใต้ อบรมระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 กันยายน 2551 ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช
                 จุดที่ 2 ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก ระหว่างวันที่ 5-8 ตุลาคม 2551 ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
                 จุดที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อบรมระหว่างวันที่ 10-13 ตุลาคม 2551 ณ จังหวัดนครราชสีมา
                จุดที่ 4 ภาคเหนือ อบรมระหว่างวันที่ 15-18 ตุลาคม 2551 ณ จังหวัดสุโขทัย ผู้เข้าประชุมทั้งหมด 748 คน
                2.2 กิจกรรมประกวดหน่วยการเรียนรู้และวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
          สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ส่งเสริมให้ครูผู้สอนประวัติศาสตร์ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาได้พัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์โดยวิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยจัดประกวดการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ ช่วงชั้นที่ 1 (ประถมศึกษาปีที่ 1-3) ช่วงชั้นที่ 2 (ประถมศึกษาปีที่ 4-6) ช่วงชั้นที่ 3 (มัธยมศึกษาปีที่ 1-3) ช่วงชั้นที่ 4 (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) การประกวดในรอบที่ 1 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2552 การประกวดในรอบที่ 2 ช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2552
          กิจกรรมนี้ได้รับความสนใจจากครูเป็นอย่างมาก มีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด 173 รายการ
             2.3 การประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอนประวัติศาสตร์และเสริมสร้างประสบการณ์และศักยภาพเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามวิธีการทางประวัติศาสตร์
          สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ส่งเสริมให้ครูและศึกษานิเทศก์มีความรู้ความเข้าใจการสอนประวัติศาสตร์ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นเรื่องราวของท้องถิ่น โดยใช้แหล่งเรียนรู้ปราสาทเขาพนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่ำ พิพิธภัณฑ์บ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์เป็นแหล่งศึกษารวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมขอมในดินแดนไทย โดยจัดอบรมระหว่างวันที่ 27-29 พฤษภาคม 2552 สำหรับศึกษานิเทศก์ และระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2552 สำหรับครูผู้สอน
               2.4 การสร้างเครือข่ายการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
          สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้สร้างความร่วมมือทางวิชาการร่วมกับหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อาทิคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย (กระทรวงวัฒนธรรม) สมาคมประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมภ์ โครงการวิจัยเมธีอาวุโส (สกว.) ในการจัดประชุมสัมมนาเพื่อพัฒนาบุคลากร
          3. การส่งเสริมเยาวชนมีจิตสำนึกและมีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ดังนี้
               3.1 การจัดกิจกรรมแข่งขัน "ประวัติศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ" ครั้งที่ 1 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในปีการศึกษา 2551
          3.2 โครงงาน "จัดทำหนังสือการ์ตูนประวัติศาสตร์" โดยจัดอบรมครูสอนศิลปะและนักเรียน 40 คน อบรมครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคม 2552 ครั้งที่ 2 วันที่ 18-19 กรกฎาคม 2552 และครั้งที่ 3 วันที่ 25-26 กรกฎาคม 2552 เพื่อให้สามารถจัดทำหนังสือการ์ตูนโรงเรียนละ 1 เล่ม และจะพัฒนาเป็นสื่อการสอนแก่สถานศึกษาต่อไป
        4. โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2552
         5. โครงการประชาสัมพันธ์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์สู่สาธารณชนเพื่อเผยแพร่ข่าวสาร การสอนประวัติศาสตร์ ในรูปการจัดนิทรรศการในการประชุมสัมมนา การเสนอข่าวความเคลื่อนไหวในสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นต้น
          ก้าวต่อไปของการพัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
          สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีแนวนโยบายเร่งรัดพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่องในปีการศึกษา 2552-2553 เช่น การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา โดยมุ่งปลูกจิตสำนึกความเป็นไทย พัฒนาสื่อการเรียนการสอนประวัติศาสตร์การจัดการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น การพัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โดยโครงงาน เป็นต้น โดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนซึ่งเป็นอนาคตของประเทศชาติตระหนักในความสำคัญและเห็นคุณค่าของการเรียนประวัติศาสตร์ เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ และดำรงความเป็นชาติให้ยาวนานตลอดไป
          แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ ได้ที่ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.
curthai@gmail.com--จบ--
          --มติชน ฉบับวันที่ 29 ก.ค. 2552
     
        จากการได้อ่าน บทสรุปการปฏิรูปการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ ๑   ปี  ที่สพฐ. นำเสนอข้อสรุปไว้ ก็มีความเห็นติดตามมาในมุมมองที่ค่อนข้างผิดหวัง 
          รศ. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์  ได้นำเสนอบทความสะท้อนความคิดเห็น นหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า
            ผมอ่าน "สพฐ.กับการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ : 1 ปีที่ผ่านมา" โดยไม่มีความประหลาดใจใดๆ แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังและเสียดายไม่ได้ เพราะหาก "การปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์" ทำได้เท่าที่ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ตั้งใจจะทำ เยาวชนและสังคมไทยก็จะต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไปเป็นอันมาก
            สพฐ.อธิบายความสำคัญของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแง่ที่ทำให้คนรุ่นหลัง ได้เกิด "ความรัก ความผูกพัน ความหวงแหนแผ่นดิน และสืบทอดเอกราชของชาติต่อไป" โดยมี "ความสามัคคีและความภาคภูมิใจในแผ่นดินไทย" ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นความสำคัญเดิมๆ ของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่รัฐไทยเน้นมายาวนาน
           ส่วนเนื้อหาของประวัติศาสตร์ สพฐ.ก็ตั้งใจจะสืบทอดเนื้อหาเดิมๆ เช่นกัน คือ เน้นการก่อตั้งและความเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักร เพื่อให้ประวัติศาสตร์เป็นเสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นถึงความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ ที่มีพัฒนาการตั้งแต่อดีตที่สืบสานมาถึงปัจจุบัน
          สพฐ.ชี้แจงด้วยว่า "ทำไมจึงต้องเรียนประวัติศาสตร์" โดยระบุว่า เป็นการ "ส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นนักคิด มีเหตุมีผล เพราะกระบวนการศึกษาทางประวัติศาสตร์ หรือวิธีการทางประวัติศาสตร์มุ่งเสริมจิตใจให้ใฝ่รู้ มีการตั้งคำถาม ค้นคว้าหาคำตอบ ศึกษาหลักฐานเอกสาร หาเหตุผล" แต่เป้าหมายของการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ สพฐ.วางไว้นั่นเอง ที่จะเป็นอุปสรรคของการตั้งคำถาม และการหาคำตอบด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง
          ผมอยากถาม สพฐ. ว่า นักเรียนจะตั้งคำถามได้ไหมว่า ในอดีตที่ผ่านมา ไทยมี "ความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ" จริงหรือไม่ อะไรคือความยิ่งใหญ่ ถ้ายิ่งใหญ่จริง ไพร่และทาสที่เป็นคนส่วนใหญ่ต้องสังเวยอะไรบ้าง เพื่อบรรลุความยิ่งใหญ่นั้น และพวกเขาได้อะไรตอบแทนบ้าง
         จะถามได้หรือไม่ว่า ประชาชนที่ปัตตานี หรือชาวม้งที่เชียงราย มีบทบาทอย่างไรหรือไม่ในการทำให้ชาติไทยมีความมั่นคงและยิ่งใหญ่
         จะสงสัยได้ไหมว่า ชาวบ้านบางระจันพยายามปกป้องเอกราชของชาติจริงหรือ ในเมื่อเวลานั้น (ต้นพุทธศตวรรษที่ 24) สำนึกเรื่อง "ชาติไทย" ยังไม่เกิดขึ้นเลย
ฯลฯ
         ถ้านักเรียนคนไหนเกิดถามคำถามเหล่านี้ขึ้นมา ครูจะส่งเสริมให้เขาหาคำตอบหรือไม่ และถ้าครูส่งเสริม จะขัดกับสิ่งที่ สพฐ.ต้องการหรือไม่
        ในปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง และประสบปัญหามากมายที่การเรียนประวัติศาสตร์แบบเดิมแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย แค่เรื่องความมั่นคงของชาติก็ต้องคิดกันใหม่หลายชั้น อาทิเช่น จะจัดการทรัพยากรอย่างไร โดยใคร เพื่อให้คนทั้งหมดในชาติมีชีวิตที่มั่นคง สามารถปรับตัวได้ และไม่เสี่ยงต่อความอดอยาก หรือภัยทางสังคมต่างๆ แล้วเราจึงจะสามารถคิดต่อไป ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์แบบไหน ที่จะทำให้ "ชาติไทย" บรรลุความมั่นคงในแง่นี้ได้
          อันที่จริงความรู้ทางประวัติศาสตร์ก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง ใครมีอำนาจในการจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมจัดการทรัพยากรดังกล่าวนี้ เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้นๆ หรือชนชั้นนั้นๆ หรือชาติพันธุ์นั้นๆ หาก สพฐ. ต้องการให้คนในชาติสามัคคีกันด้วยการสอนประวัติศาสตร์จริงๆ แล้วละก็ สพฐ. ต้องให้คนทุกกลุ่มในชาติมีโอกาสจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างเสมอภาค กัน เพื่อให้เกิดความรู้และความทรงจำร่วมเกี่ยวกับ "ชาติไทย" ที่คนทุกกลุ่มในชาติเป็นเจ้าของร่วมกัน และคนทุกกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของชาติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ชาติที่คนส่วนน้อยเท่านั้นเป็นเจ้าของ และเป็นส่วนที่สำคัญกว่าส่วนอื่นๆ ในชาติ ดังที่เรารับรู้ในปัจจุบัน เพราะหากยังเป็นชาติที่คนส่วนน้อยเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการชาติมากกว่าคนอื่น ความขัดแย้งก็ย่อมมีมาก ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
          การสอนประวัติศาสตร์ให้นักเรียน "คิดเป็น" มีความสำคัญมากต่อชีวิตในอนาคต แต่หากบีบคำถามและคำตอบให้เหลือแคบๆ ดังที่ สพฐ. พยายามทำ ก็เท่ากับทำให้คนไทยคิดอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ตายตัว ทั้งๆ ที่แนวการวิเคราะห์เพื่ออธิบาย "สาเหตุ" และ "ผล" นั้น มีมากมายหลายแบบ แนวการวิเคราะห์แต่ละแบบ ก็ทำให้มองเห็น "สาเหตุ" และ "ผล" ที่แตกต่างกันออกไป
เราคงเห็นอยู่ดาษดื่น ว่า เมื่อคนไทยคิดว่าอะไรคือสาเหตุของความเปลี่ยนแปลง หรือสาเหตุของปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่งในอดีตและในปัจจุบัน ก็มักคิดอยู่ในกรอบหรือแนวการวิเคราะห์ที่ว่า ผู้นำคือสาเหตุสำคัญ และคนไทยก็มองบทบาทของผู้นำโดยไม่พิจารณาบริบทหรือเงื่อนไขอันซับซ้อนของผู้ นำแม้แต่น้อย ทำให้คนไทยเข้าใจปรากฏการณ์และปัญหาต่างๆ ตื้นเขินไปหมด และทางเลือกในการแก้ไขปัญหาก็พลอยคับแคบตื้นเขินไปด้วย
           นี่คือ ความล้มเหลวสำคัญของการสอนประวัติศาสตร์ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา และประวัติศาสตร์แบบที่ สพฐ. กำลังจะบังคับให้นักเรียนทุกชั้นต้องเรียน ก็ดำเนินรอยตามทุกฝีก้าว ทั้งๆ ที่โลกและสังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร
           สพฐ.ไม่ได้ตระหนักในความสำคัญของการฝึกให้นักเรียนรู้จักแนวการวิเคราะห์ ที่แตกต่างกัน เพื่อจะสามารถมองปรากฏการณ์หนึ่งๆ จากหลากหลายมุมมอง และสามารถจะพัฒนาวิธีคิดที่เอื้อให้เข้าใจความซับซ้อนของปรากฏการณ์ หรือความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในอดีต จนเกิดวิสัยทัศน์ที่จะมองเห็นความซับซ้อนและความหลากหลายของความเปลี่ยน แปลงอย่างกระจ่างแจ้งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีศักยภาพมากขึ้นในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง ที่หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตยุคโลกาภิวัตน์
          วิธีคิดที่เอื้อให้มองเห็นความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาที่ เกิดขึ้น เป็นวิธีคิดที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่เปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็ว และเกิดปัญหาใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี หากฝึกให้นักเรียนมองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยคำนึงถึงบริบทที่ซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การเมือง และ/หรือทางสังคม-วัฒนธรรม มิใช่มองหาแต่ความยิ่งใหญ่ของชาติ หรือบทเรียนเรื่องความสามัคคี อาทิเช่น หากจะสอนเรื่องสงครามระหว่างไทยกับพม่า ก็ต้องให้นักเรียนได้พิจารณาว่าสงครามแต่ละครั้งเกิดขึ้นในบริบททางเศรษฐกิจ ที่การค้าทางทะเลขยายตัว จนมีการแย่งชิงเมืองท่าในแถบหัวเมืองมอญหรือไม่ อย่างไร การแข่งกันเพื่อมีอำนาจสูงสุดระหว่างกษัตริย์ไทยและกษัตริย์พม่านี้มีบริบท ทางวัฒนธรรมแบบพุทธเป็นเงื่อนไขหนึ่งหรือไม่ อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับเจ้าเมืองและประชาชนหรือไพร่ในยุคนั้นเป็น บริบทที่มีผลต่อสงครามหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ หากสอนเช่นนี้นักเรียนก็จะเข้าใจสงครามระหว่างไทยกับพม่าซับซ้อนขึ้น และแน่นอนว่า นักเรียนก็จะเข้าใจความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงในสังคมและชีวิตของตนเองดี ขึ้นด้วย
          ผมคงต้องพูดอย่างที่หลายท่านได้พูดมาแล้ว ว่า ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความสามารถที่จะเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่จะสอนในโรงเรียน จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และ "ความเป็นไทย" ที่ สพฐ.จะปลูกฝังแก่นักเรียนก็ต้องเป็น "พหุวัฒนธรรม" ด้วย
มองต่างมุม : กรณี สพฐ.กับการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
เขียนโดย เด็กสืบสาน   
กรุงเทพธุรกิจ

รศ. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ผมอ่าน "สพฐ.กับการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ : 1 ปีที่ผ่านมา" โดยไม่มีความประหลาดใจใดๆ แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังและเสียดายไม่ได้ เพราะหาก "การปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์" ทำได้เท่าที่ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ตั้งใจจะทำ เยาวชนและสังคมไทยก็จะต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไปเป็นอันมาก
สพฐ.อธิบายความสำคัญของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแง่ที่ทำให้คนรุ่นหลัง ได้เกิด "ความรัก ความผูกพัน ความหวงแหนแผ่นดิน และสืบทอดเอกราชของชาติต่อไป" โดยมี "ความสามัคคีและความภาคภูมิใจในแผ่นดินไทย" ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นความสำคัญเดิมๆ ของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่รัฐไทยเน้นมายาวนาน
ส่วนเนื้อหาของประวัติศาสตร์ สพฐ.ก็ตั้งใจจะสืบทอดเนื้อหาเดิมๆ เช่นกัน คือ เน้นการก่อตั้งและความเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักร เพื่อให้ประวัติศาสตร์เป็นเสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นถึงความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ ที่มีพัฒนาการตั้งแต่อดีตที่สืบสานมาถึงปัจจุบัน
สพฐ.ชี้แจงด้วยว่า "ทำไมจึงต้องเรียนประวัติศาสตร์" โดยระบุว่า เป็นการ "ส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นนักคิด มีเหตุมีผล เพราะกระบวนการศึกษาทางประวัติศาสตร์ หรือวิธีการทางประวัติศาสตร์มุ่งเสริมจิตใจให้ใฝ่รู้ มีการตั้งคำถาม ค้นคว้าหาคำตอบ ศึกษาหลักฐานเอกสาร หาเหตุผล" แต่เป้าหมายของการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ สพฐ.วางไว้นั่นเอง ที่จะเป็นอุปสรรคของการตั้งคำถาม และการหาคำตอบด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง
ผมอยากถาม สพฐ. ว่า นักเรียนจะตั้งคำถามได้ไหมว่า ในอดีตที่ผ่านมา ไทยมี "ความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ" จริงหรือไม่ อะไรคือความยิ่งใหญ่ ถ้ายิ่งใหญ่จริง ไพร่และทาสที่เป็นคนส่วนใหญ่ต้องสังเวยอะไรบ้าง เพื่อบรรลุความยิ่งใหญ่นั้น และพวกเขาได้อะไรตอบแทนบ้าง
จะถามได้หรือไม่ว่า ประชาชนที่ปัตตานี หรือชาวม้งที่เชียงราย มีบทบาทอย่างไรหรือไม่ในการทำให้ชาติไทยมีความมั่นคงและยิ่งใหญ่
จะสงสัยได้ไหมว่า ชาวบ้านบางระจันพยายามปกป้องเอกราชของชาติจริงหรือ ในเมื่อเวลานั้น (ต้นพุทธศตวรรษที่ 24) สำนึกเรื่อง "ชาติไทย" ยังไม่เกิดขึ้นเลย
ฯลฯ
ถ้านักเรียนคนไหนเกิดถามคำถามเหล่านี้ขึ้นมา ครูจะส่งเสริมให้เขาหาคำตอบหรือไม่ และถ้าครูส่งเสริม จะขัดกับสิ่งที่ สพฐ.ต้องการหรือไม่
ในปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง และประสบปัญหามากมายที่การเรียนประวัติศาสตร์แบบเดิมแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย แค่เรื่องความมั่นคงของชาติก็ต้องคิดกันใหม่หลายชั้น อาทิเช่น จะจัดการทรัพยากรอย่างไร โดยใคร เพื่อให้คนทั้งหมดในชาติมีชีวิตที่มั่นคง สามารถปรับตัวได้ และไม่เสี่ยงต่อความอดอยาก หรือภัยทางสังคมต่างๆ แล้วเราจึงจะสามารถคิดต่อไป ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์แบบไหน ที่จะทำให้ "ชาติไทย" บรรลุความมั่นคงในแง่นี้ได้
อันที่จริงความรู้ทางประวัติศาสตร์ก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง ใครมีอำนาจในการจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมจัดการทรัพยากรดังกล่าวนี้ เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้นๆ หรือชนชั้นนั้นๆ หรือชาติพันธุ์นั้นๆ หาก สพฐ. ต้องการให้คนในชาติสามัคคีกันด้วยการสอนประวัติศาสตร์จริงๆ แล้วละก็ สพฐ. ต้องให้คนทุกกลุ่มในชาติมีโอกาสจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างเสมอภาค กัน เพื่อให้เกิดความรู้และความทรงจำร่วมเกี่ยวกับ "ชาติไทย" ที่คนทุกกลุ่มในชาติเป็นเจ้าของร่วมกัน และคนทุกกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของชาติอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ใช่ชาติที่คนส่วนน้อยเท่านั้นเป็นเจ้าของ และเป็นส่วนที่สำคัญกว่าส่วนอื่นๆ ในชาติ ดังที่เรารับรู้ในปัจจุบัน เพราะหากยังเป็นชาติที่คนส่วนน้อยเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการชาติมากกว่าคนอื่น ความขัดแย้งก็ย่อมมีมาก ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
การสอนประวัติศาสตร์ให้นักเรียน "คิดเป็น" มีความสำคัญมากต่อชีวิตในอนาคต แต่หากบีบคำถามและคำตอบให้เหลือแคบๆ ดังที่ สพฐ. พยายามทำ ก็เท่ากับทำให้คนไทยคิดอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ตายตัว ทั้งๆ ที่แนวการวิเคราะห์เพื่ออธิบาย "สาเหตุ" และ "ผล" นั้น มีมากมายหลายแบบ แนวการวิเคราะห์แต่ละแบบ ก็ทำให้มองเห็น "สาเหตุ" และ "ผล" ที่แตกต่างกันออกไป
เราคงเห็นอยู่ดาษดื่น ว่า เมื่อคนไทยคิดว่าอะไรคือสาเหตุของความเปลี่ยนแปลง หรือสาเหตุของปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่งในอดีตและในปัจจุบัน ก็มักคิดอยู่ในกรอบหรือแนวการวิเคราะห์ที่ว่า ผู้นำคือสาเหตุสำคัญ และคนไทยก็มองบทบาทของผู้นำโดยไม่พิจารณาบริบทหรือเงื่อนไขอันซับซ้อนของผู้ นำแม้แต่น้อย ทำให้คนไทยเข้าใจปรากฏการณ์และปัญหาต่างๆ ตื้นเขินไปหมด และทางเลือกในการแก้ไขปัญหาก็พลอยคับแคบตื้นเขินไปด้วย
นี่คือ ความล้มเหลวสำคัญของการสอนประวัติศาสตร์ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา และประวัติศาสตร์แบบที่ สพฐ. กำลังจะบังคับให้นักเรียนทุกชั้นต้องเรียน ก็ดำเนินรอยตามทุกฝีก้าว ทั้งๆ ที่โลกและสังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร
สพฐ.ไม่ได้ตระหนักในความสำคัญของการฝึกให้นักเรียนรู้จักแนวการวิเคราะห์ ที่แตกต่างกัน เพื่อจะสามารถมองปรากฏการณ์หนึ่งๆ จากหลากหลายมุมมอง และสามารถจะพัฒนาวิธีคิดที่เอื้อให้เข้าใจความซับซ้อนของปรากฏการณ์ หรือความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในอดีต จนเกิดวิสัยทัศน์ที่จะมองเห็นความซับซ้อนและความหลากหลายของความเปลี่ยน แปลงอย่างกระจ่างแจ้งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีศักยภาพมากขึ้นในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง ที่หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตยุคโลกาภิวัตน์
วิธีคิดที่เอื้อให้มองเห็นความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาที่ เกิดขึ้น เป็นวิธีคิดที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่เปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็ว และเกิดปัญหาใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี หากฝึกให้นักเรียนมองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยคำนึงถึงบริบทที่ซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การเมือง และ/หรือทางสังคม-วัฒนธรรม มิใช่มองหาแต่ความยิ่งใหญ่ของชาติ หรือบทเรียนเรื่องความสามัคคี
อาทิเช่น หากจะสอนเรื่องสงครามระหว่างไทยกับพม่า ก็ต้องให้นักเรียนได้พิจารณาว่าสงครามแต่ละครั้งเกิดขึ้นในบริบททางเศรษฐกิจ ที่การค้าทางทะเลขยายตัว จนมีการแย่งชิงเมืองท่าในแถบหัวเมืองมอญหรือไม่ อย่างไร การแข่งกันเพื่อมีอำนาจสูงสุดระหว่างกษัตริย์ไทยและกษัตริย์พม่านี้มีบริบท ทางวัฒนธรรมแบบพุทธเป็นเงื่อนไขหนึ่งหรือไม่ อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับเจ้าเมืองและประชาชนหรือไพร่ในยุคนั้นเป็น บริบทที่มีผลต่อสงครามหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ หากสอนเช่นนี้นักเรียนก็จะเข้าใจสงครามระหว่างไทยกับพม่าซับซ้อนขึ้น และแน่นอนว่า นักเรียนก็จะเข้าใจความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงในสังคมและชีวิตของตนเองดี ขึ้นด้วย
ผมคงต้องพูดอย่างที่หลายท่านได้พูดมาแล้ว ว่า ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความสามารถที่จะเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่จะสอนในโรงเรียน จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และ "ความเป็นไทย" ที่ สพฐ.จะปลูกฝังแก่นักเรียนก็ต้องเป็น "พหุวัฒนธรรม" ด้วย

http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7180&user=attachak

มองต่างมุม : กรณี สพฐ.กับการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
เขียนโดย เด็กสืบสาน   
กรุงเทพธุรกิจ

รศ. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ผมอ่าน "สพฐ.กับการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ : 1 ปีที่ผ่านมา" โดยไม่มีความประหลาดใจใดๆ แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังและเสียดายไม่ได้ เพราะหาก "การปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์" ทำได้เท่าที่ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ตั้งใจจะทำ เยาวชนและสังคมไทยก็จะต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไปเป็นอันมาก
สพฐ.อธิบายความสำคัญของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแง่ที่ทำให้คนรุ่นหลัง ได้เกิด "ความรัก ความผูกพัน ความหวงแหนแผ่นดิน และสืบทอดเอกราชของชาติต่อไป" โดยมี "ความสามัคคีและความภาคภูมิใจในแผ่นดินไทย" ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นความสำคัญเดิมๆ ของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่รัฐไทยเน้นมายาวนาน
ส่วนเนื้อหาของประวัติศาสตร์ สพฐ.ก็ตั้งใจจะสืบทอดเนื้อหาเดิมๆ เช่นกัน คือ เน้นการก่อตั้งและความเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักร เพื่อให้ประวัติศาสตร์เป็นเสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นถึงความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ ที่มีพัฒนาการตั้งแต่อดีตที่สืบสานมาถึงปัจจุบัน
สพฐ.ชี้แจงด้วยว่า "ทำไมจึงต้องเรียนประวัติศาสตร์" โดยระบุว่า เป็นการ "ส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นนักคิด มีเหตุมีผล เพราะกระบวนการศึกษาทางประวัติศาสตร์ หรือวิธีการทางประวัติศาสตร์มุ่งเสริมจิตใจให้ใฝ่รู้ มีการตั้งคำถาม ค้นคว้าหาคำตอบ ศึกษาหลักฐานเอกสาร หาเหตุผล" แต่เป้าหมายของการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ สพฐ.วางไว้นั่นเอง ที่จะเป็นอุปสรรคของการตั้งคำถาม และการหาคำตอบด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง
ผมอยากถาม สพฐ. ว่า นักเรียนจะตั้งคำถามได้ไหมว่า ในอดีตที่ผ่านมา ไทยมี "ความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ" จริงหรือไม่ อะไรคือความยิ่งใหญ่ ถ้ายิ่งใหญ่จริง ไพร่และทาสที่เป็นคนส่วนใหญ่ต้องสังเวยอะไรบ้าง เพื่อบรรลุความยิ่งใหญ่นั้น และพวกเขาได้อะไรตอบแทนบ้าง
จะถามได้หรือไม่ว่า ประชาชนที่ปัตตานี หรือชาวม้งที่เชียงราย มีบทบาทอย่างไรหรือไม่ในการทำให้ชาติไทยมีความมั่นคงและยิ่งใหญ่
จะสงสัยได้ไหมว่า ชาวบ้านบางระจันพยายามปกป้องเอกราชของชาติจริงหรือ ในเมื่อเวลานั้น (ต้นพุทธศตวรรษที่ 24) สำนึกเรื่อง "ชาติไทย" ยังไม่เกิดขึ้นเลย
ฯลฯ
ถ้านักเรียนคนไหนเกิดถามคำถามเหล่านี้ขึ้นมา ครูจะส่งเสริมให้เขาหาคำตอบหรือไม่ และถ้าครูส่งเสริม จะขัดกับสิ่งที่ สพฐ.ต้องการหรือไม่
ในปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง และประสบปัญหามากมายที่การเรียนประวัติศาสตร์แบบเดิมแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย แค่เรื่องความมั่นคงของชาติก็ต้องคิดกันใหม่หลายชั้น อาทิเช่น จะจัดการทรัพยากรอย่างไร โดยใคร เพื่อให้คนทั้งหมดในชาติมีชีวิตที่มั่นคง สามารถปรับตัวได้ และไม่เสี่ยงต่อความอดอยาก หรือภัยทางสังคมต่างๆ แล้วเราจึงจะสามารถคิดต่อไป ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์แบบไหน ที่จะทำให้ "ชาติไทย" บรรลุความมั่นคงในแง่นี้ได้
อันที่จริงความรู้ทางประวัติศาสตร์ก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง ใครมีอำนาจในการจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมจัดการทรัพยากรดังกล่าวนี้ เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้นๆ หรือชนชั้นนั้นๆ หรือชาติพันธุ์นั้นๆ หาก สพฐ. ต้องการให้คนในชาติสามัคคีกันด้วยการสอนประวัติศาสตร์จริงๆ แล้วละก็ สพฐ. ต้องให้คนทุกกลุ่มในชาติมีโอกาสจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างเสมอภาค กัน เพื่อให้เกิดความรู้และความทรงจำร่วมเกี่ยวกับ "ชาติไทย" ที่คนทุกกลุ่มในชาติเป็นเจ้าของร่วมกัน และคนทุกกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของชาติอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ใช่ชาติที่คนส่วนน้อยเท่านั้นเป็นเจ้าของ และเป็นส่วนที่สำคัญกว่าส่วนอื่นๆ ในชาติ ดังที่เรารับรู้ในปัจจุบัน เพราะหากยังเป็นชาติที่คนส่วนน้อยเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการชาติมากกว่าคนอื่น ความขัดแย้งก็ย่อมมีมาก ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
การสอนประวัติศาสตร์ให้นักเรียน "คิดเป็น" มีความสำคัญมากต่อชีวิตในอนาคต แต่หากบีบคำถามและคำตอบให้เหลือแคบๆ ดังที่ สพฐ. พยายามทำ ก็เท่ากับทำให้คนไทยคิดอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ตายตัว ทั้งๆ ที่แนวการวิเคราะห์เพื่ออธิบาย "สาเหตุ" และ "ผล" นั้น มีมากมายหลายแบบ แนวการวิเคราะห์แต่ละแบบ ก็ทำให้มองเห็น "สาเหตุ" และ "ผล" ที่แตกต่างกันออกไป
เราคงเห็นอยู่ดาษดื่น ว่า เมื่อคนไทยคิดว่าอะไรคือสาเหตุของความเปลี่ยนแปลง หรือสาเหตุของปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่งในอดีตและในปัจจุบัน ก็มักคิดอยู่ในกรอบหรือแนวการวิเคราะห์ที่ว่า ผู้นำคือสาเหตุสำคัญ และคนไทยก็มองบทบาทของผู้นำโดยไม่พิจารณาบริบทหรือเงื่อนไขอันซับซ้อนของผู้ นำแม้แต่น้อย ทำให้คนไทยเข้าใจปรากฏการณ์และปัญหาต่างๆ ตื้นเขินไปหมด และทางเลือกในการแก้ไขปัญหาก็พลอยคับแคบตื้นเขินไปด้วย
นี่คือ ความล้มเหลวสำคัญของการสอนประวัติศาสตร์ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา และประวัติศาสตร์แบบที่ สพฐ. กำลังจะบังคับให้นักเรียนทุกชั้นต้องเรียน ก็ดำเนินรอยตามทุกฝีก้าว ทั้งๆ ที่โลกและสังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร
สพฐ.ไม่ได้ตระหนักในความสำคัญของการฝึกให้นักเรียนรู้จักแนวการวิเคราะห์ ที่แตกต่างกัน เพื่อจะสามารถมองปรากฏการณ์หนึ่งๆ จากหลากหลายมุมมอง และสามารถจะพัฒนาวิธีคิดที่เอื้อให้เข้าใจความซับซ้อนของปรากฏการณ์ หรือความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในอดีต จนเกิดวิสัยทัศน์ที่จะมองเห็นความซับซ้อนและความหลากหลายของความเปลี่ยน แปลงอย่างกระจ่างแจ้งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีศักยภาพมากขึ้นในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง ที่หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตยุคโลกาภิวัตน์
วิธีคิดที่เอื้อให้มองเห็นความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาที่ เกิดขึ้น เป็นวิธีคิดที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่เปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็ว และเกิดปัญหาใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี หากฝึกให้นักเรียนมองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยคำนึงถึงบริบทที่ซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การเมือง และ/หรือทางสังคม-วัฒนธรรม มิใช่มองหาแต่ความยิ่งใหญ่ของชาติ หรือบทเรียนเรื่องความสามัคคี
อาทิเช่น หากจะสอนเรื่องสงครามระหว่างไทยกับพม่า ก็ต้องให้นักเรียนได้พิจารณาว่าสงครามแต่ละครั้งเกิดขึ้นในบริบททางเศรษฐกิจ ที่การค้าทางทะเลขยายตัว จนมีการแย่งชิงเมืองท่าในแถบหัวเมืองมอญหรือไม่ อย่างไร การแข่งกันเพื่อมีอำนาจสูงสุดระหว่างกษัตริย์ไทยและกษัตริย์พม่านี้มีบริบท ทางวัฒนธรรมแบบพุทธเป็นเงื่อนไขหนึ่งหรือไม่ อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับเจ้าเมืองและประชาชนหรือไพร่ในยุคนั้นเป็น บริบทที่มีผลต่อสงครามหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ หากสอนเช่นนี้นักเรียนก็จะเข้าใจสงครามระหว่างไทยกับพม่าซับซ้อนขึ้น และแน่นอนว่า นักเรียนก็จะเข้าใจความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงในสังคมและชีวิตของตนเองดี ขึ้นด้วย
ผมคงต้องพูดอย่างที่หลายท่านได้พูดมาแล้ว ว่า ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความสามารถที่จะเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่จะสอนในโรงเรียน จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และ "ความเป็นไทย" ที่ สพฐ.จะปลูกฝังแก่นักเรียนก็ต้องเป็น "พหุวัฒนธรรม" ด้วย

http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7180&user=attachak

มองต่างมุม : กรณี สพฐ.กับการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์
เขียนโดย เด็กสืบสาน   
กรุงเทพธุรกิจ

รศ. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
ผมอ่าน "สพฐ.กับการปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ : 1 ปีที่ผ่านมา" โดยไม่มีความประหลาดใจใดๆ แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังและเสียดายไม่ได้ เพราะหาก "การปฏิรูปการเรียนการสอนประวัติศาสตร์" ทำได้เท่าที่ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ตั้งใจจะทำ เยาวชนและสังคมไทยก็จะต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการศึกษาประวัติศาสตร์ไปเป็นอันมาก
สพฐ.อธิบายความสำคัญของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในแง่ที่ทำให้คนรุ่นหลัง ได้เกิด "ความรัก ความผูกพัน ความหวงแหนแผ่นดิน และสืบทอดเอกราชของชาติต่อไป" โดยมี "ความสามัคคีและความภาคภูมิใจในแผ่นดินไทย" ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นความสำคัญเดิมๆ ของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่รัฐไทยเน้นมายาวนาน
ส่วนเนื้อหาของประวัติศาสตร์ สพฐ.ก็ตั้งใจจะสืบทอดเนื้อหาเดิมๆ เช่นกัน คือ เน้นการก่อตั้งและความเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักร เพื่อให้ประวัติศาสตร์เป็นเสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นถึงความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ ที่มีพัฒนาการตั้งแต่อดีตที่สืบสานมาถึงปัจจุบัน
สพฐ.ชี้แจงด้วยว่า "ทำไมจึงต้องเรียนประวัติศาสตร์" โดยระบุว่า เป็นการ "ส่งเสริมผู้เรียนให้เป็นนักคิด มีเหตุมีผล เพราะกระบวนการศึกษาทางประวัติศาสตร์ หรือวิธีการทางประวัติศาสตร์มุ่งเสริมจิตใจให้ใฝ่รู้ มีการตั้งคำถาม ค้นคว้าหาคำตอบ ศึกษาหลักฐานเอกสาร หาเหตุผล" แต่เป้าหมายของการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ สพฐ.วางไว้นั่นเอง ที่จะเป็นอุปสรรคของการตั้งคำถาม และการหาคำตอบด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริง
ผมอยากถาม สพฐ. ว่า นักเรียนจะตั้งคำถามได้ไหมว่า ในอดีตที่ผ่านมา ไทยมี "ความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ" จริงหรือไม่ อะไรคือความยิ่งใหญ่ ถ้ายิ่งใหญ่จริง ไพร่และทาสที่เป็นคนส่วนใหญ่ต้องสังเวยอะไรบ้าง เพื่อบรรลุความยิ่งใหญ่นั้น และพวกเขาได้อะไรตอบแทนบ้าง
จะถามได้หรือไม่ว่า ประชาชนที่ปัตตานี หรือชาวม้งที่เชียงราย มีบทบาทอย่างไรหรือไม่ในการทำให้ชาติไทยมีความมั่นคงและยิ่งใหญ่
จะสงสัยได้ไหมว่า ชาวบ้านบางระจันพยายามปกป้องเอกราชของชาติจริงหรือ ในเมื่อเวลานั้น (ต้นพุทธศตวรรษที่ 24) สำนึกเรื่อง "ชาติไทย" ยังไม่เกิดขึ้นเลย
ฯลฯ
ถ้านักเรียนคนไหนเกิดถามคำถามเหล่านี้ขึ้นมา ครูจะส่งเสริมให้เขาหาคำตอบหรือไม่ และถ้าครูส่งเสริม จะขัดกับสิ่งที่ สพฐ.ต้องการหรือไม่
ในปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง และประสบปัญหามากมายที่การเรียนประวัติศาสตร์แบบเดิมแทบจะไม่ช่วยอะไรเลย แค่เรื่องความมั่นคงของชาติก็ต้องคิดกันใหม่หลายชั้น อาทิเช่น จะจัดการทรัพยากรอย่างไร โดยใคร เพื่อให้คนทั้งหมดในชาติมีชีวิตที่มั่นคง สามารถปรับตัวได้ และไม่เสี่ยงต่อความอดอยาก หรือภัยทางสังคมต่างๆ แล้วเราจึงจะสามารถคิดต่อไป ว่า การศึกษาประวัติศาสตร์แบบไหน ที่จะทำให้ "ชาติไทย" บรรลุความมั่นคงในแง่นี้ได้
อันที่จริงความรู้ทางประวัติศาสตร์ก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่ง ใครมีอำนาจในการจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์ ก็ย่อมจัดการทรัพยากรดังกล่าวนี้ เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้นๆ หรือชนชั้นนั้นๆ หรือชาติพันธุ์นั้นๆ หาก สพฐ. ต้องการให้คนในชาติสามัคคีกันด้วยการสอนประวัติศาสตร์จริงๆ แล้วละก็ สพฐ. ต้องให้คนทุกกลุ่มในชาติมีโอกาสจัดการความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างเสมอภาค กัน เพื่อให้เกิดความรู้และความทรงจำร่วมเกี่ยวกับ "ชาติไทย" ที่คนทุกกลุ่มในชาติเป็นเจ้าของร่วมกัน และคนทุกกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของชาติอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ใช่ชาติที่คนส่วนน้อยเท่านั้นเป็นเจ้าของ และเป็นส่วนที่สำคัญกว่าส่วนอื่นๆ ในชาติ ดังที่เรารับรู้ในปัจจุบัน เพราะหากยังเป็นชาติที่คนส่วนน้อยเป็นเจ้าของ และมีอำนาจจัดการชาติมากกว่าคนอื่น ความขัดแย้งก็ย่อมมีมาก ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
การสอนประวัติศาสตร์ให้นักเรียน "คิดเป็น" มีความสำคัญมากต่อชีวิตในอนาคต แต่หากบีบคำถามและคำตอบให้เหลือแคบๆ ดังที่ สพฐ. พยายามทำ ก็เท่ากับทำให้คนไทยคิดอยู่ในกรอบแคบๆ ที่ตายตัว ทั้งๆ ที่แนวการวิเคราะห์เพื่ออธิบาย "สาเหตุ" และ "ผล" นั้น มีมากมายหลายแบบ แนวการวิเคราะห์แต่ละแบบ ก็ทำให้มองเห็น "สาเหตุ" และ "ผล" ที่แตกต่างกันออกไป
เราคงเห็นอยู่ดาษดื่น ว่า เมื่อคนไทยคิดว่าอะไรคือสาเหตุของความเปลี่ยนแปลง หรือสาเหตุของปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่งในอดีตและในปัจจุบัน ก็มักคิดอยู่ในกรอบหรือแนวการวิเคราะห์ที่ว่า ผู้นำคือสาเหตุสำคัญ และคนไทยก็มองบทบาทของผู้นำโดยไม่พิจารณาบริบทหรือเงื่อนไขอันซับซ้อนของผู้ นำแม้แต่น้อย ทำให้คนไทยเข้าใจปรากฏการณ์และปัญหาต่างๆ ตื้นเขินไปหมด และทางเลือกในการแก้ไขปัญหาก็พลอยคับแคบตื้นเขินไปด้วย
นี่คือ ความล้มเหลวสำคัญของการสอนประวัติศาสตร์ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา และประวัติศาสตร์แบบที่ สพฐ. กำลังจะบังคับให้นักเรียนทุกชั้นต้องเรียน ก็ดำเนินรอยตามทุกฝีก้าว ทั้งๆ ที่โลกและสังคมไทยกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร
สพฐ.ไม่ได้ตระหนักในความสำคัญของการฝึกให้นักเรียนรู้จักแนวการวิเคราะห์ ที่แตกต่างกัน เพื่อจะสามารถมองปรากฏการณ์หนึ่งๆ จากหลากหลายมุมมอง และสามารถจะพัฒนาวิธีคิดที่เอื้อให้เข้าใจความซับซ้อนของปรากฏการณ์ หรือความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในอดีต จนเกิดวิสัยทัศน์ที่จะมองเห็นความซับซ้อนและความหลากหลายของความเปลี่ยน แปลงอย่างกระจ่างแจ้งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีศักยภาพมากขึ้นในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง ที่หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตยุคโลกาภิวัตน์
วิธีคิดที่เอื้อให้มองเห็นความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงหรือปัญหาที่ เกิดขึ้น เป็นวิธีคิดที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่เปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็ว และเกิดปัญหาใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี หากฝึกให้นักเรียนมองปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตโดยคำนึงถึงบริบทที่ซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การเมือง และ/หรือทางสังคม-วัฒนธรรม มิใช่มองหาแต่ความยิ่งใหญ่ของชาติ หรือบทเรียนเรื่องความสามัคคี
อาทิเช่น หากจะสอนเรื่องสงครามระหว่างไทยกับพม่า ก็ต้องให้นักเรียนได้พิจารณาว่าสงครามแต่ละครั้งเกิดขึ้นในบริบททางเศรษฐกิจ ที่การค้าทางทะเลขยายตัว จนมีการแย่งชิงเมืองท่าในแถบหัวเมืองมอญหรือไม่ อย่างไร การแข่งกันเพื่อมีอำนาจสูงสุดระหว่างกษัตริย์ไทยและกษัตริย์พม่านี้มีบริบท ทางวัฒนธรรมแบบพุทธเป็นเงื่อนไขหนึ่งหรือไม่ อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับเจ้าเมืองและประชาชนหรือไพร่ในยุคนั้นเป็น บริบทที่มีผลต่อสงครามหรือไม่ อย่างไร ฯลฯ หากสอนเช่นนี้นักเรียนก็จะเข้าใจสงครามระหว่างไทยกับพม่าซับซ้อนขึ้น และแน่นอนว่า นักเรียนก็จะเข้าใจความซับซ้อนของความเปลี่ยนแปลงในสังคมและชีวิตของตนเองดี ขึ้นด้วย
ผมคงต้องพูดอย่างที่หลายท่านได้พูดมาแล้ว ว่า ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความสามารถที่จะเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ดังนั้น ประวัติศาสตร์ที่จะสอนในโรงเรียน จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และ "ความเป็นไทย" ที่ สพฐ.จะปลูกฝังแก่นักเรียนก็ต้องเป็น "พหุวัฒนธรรม" ด้วย

http://newsroom.bangkokbiznews.com/comment.php?id=7180&user=attachak

           
        อ้างอิงจาก
  
            
                                                                        ฿฿฿sornorinno฿฿฿